Aximdaily
ดอลลาร์แข็งค่า บทเรียน Forex

ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า คืออะไร และส่งผลอย่างไรบ้าง?

ในปี 2022 มูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น (U.S. Dollar) อย่างน่าประทับใจมากถึง 14% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 สกุลเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

และนับเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษที่ U.S. Dollar กลับมาแข็งค่าต่อเนื่องเป็นปี ๆ ได้ จนมีจังหวะที่มูลค่าสูงกว่า ‘ยูโร’ หรือ ‘เยน’ ของญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ เป็นผลโดยตรงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED

ดอลลาร์แข็งค่า

ดอลลาร์แข็งค่า คือ การที่มูลค่าในตลาดของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) สูงกว่าค่าเงินอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกัน เช่น หนึ่งปีที่แล้ว 1 ดอลลาร์จะทำให้คุณได้เงินประมาณ 110 เยน (USDJPY = 110) แต่ตอนนี้ 1 ดอลลาร์ สามารถซื้อคุณได้ประมาณ 140 เยน (USDJPY = 140) จะเห็นว่า สกุลเงินดอลลาร์สามารถแลกเงินเยนได้มากขึ้นถึง 30% นี่คือการที่ดอลลาร์สหรัฐขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน

ดอลลาร์แข็งค่า คือ

เราควรทราบว่า ธนาคาร ธุรกิจ และกลุ่มเทรดเดอร์หรือกองทุนเพื่อการเก็งกำไรจะมีการซื้อและขายสกุลเงินต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน นั่นทำให้มูลค่าของของสกุลเงินต่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคู่เงิน Forex นั้นผันผวนตลอดเวลา

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2022 สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเปรียบเทียบดอลลาร์กับยูโร เยน และสกุลเงินหลักอื่น ๆ (ทั้งหมดนี้มักเปรียบเทียบผ่านดัชนีที่เรียกว่า US Dollar Index: DXY) เพิ่มขึ้นมากกว่า 14% สวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจโลก และสวนทางกับตลาดหุ้นของสหรัฐเองที่ร่วงลงมากกว่า 19% รวมถึงตลาด Cryptocurrency ที่ร่วงแรงไม่แพ้กัน

ทำไมดอลลาร์แข็งค่าอย่างมากในปี 2022

แม้จะมีสิ่งที่ดูแปลก ๆ ในเศรษฐกิจสหรัฐในขณะนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า “เงินดอลลาร์” ก็กลายเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและดีกว่าสำหรับนักลงทุนมากกว่าสกุลเงินอื่น ๆ และสำหรับหลายกองทุน เค้ามองว่า มันดีกว่าการไปเสี่ยงกับตราทุนหรือหุ้น

Kenneth Rogoff นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กำลังอยู่ในแนวทางที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าประเทศสำคัญอื่น ๆ โดย FED ได้เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากสถานการณ์ Covid-19 ที่ค่อย ๆ บรรเทาลง โดยเป็นจังหวะที่เงินเฟ้อทั่วโลกเติบโตสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้เงินดอลลาร์มีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน เนื่องจากพวกเขาจะสามารถได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น

จากข้อมูลของ Rogoff เศรษฐกิจสหรัฐดูแข็งแกร่งขึ้นจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย (แข็งแกร่งขึ้นเพราะประเทศอื่นอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากสงครามและราคาพลังงานที่สูงขึ้น) “ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นดีกว่าเศรษฐกิจอื่นๆ มากมาย” เขากล่าวเสริม

Vassili Serebriakov วาณิชธนกิจของ UBS กล่าวว่า U.S. Dollar ทำหน้าที่เป็น “ที่หลบภัย” หรือ Safe Have ในขณะที่นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก พวกเขาย้ายเงินไปเก็บในรูปของดอลลาร์สหรัฐ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นการซื้อผ่านพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ Serebriakov อธิบายว่า ถ้าจะเกิดสภาวะถดถอย ก็อาจไม่ได้กระทบสหรัฐฯ มากนัก แต่เป็นเรื่องที่เศรษฐกิจโลกต้องกังวลมากกว่า

ดอลลาร์แข็งค่าส่งผลต่อสหรัฐฯ อย่างไร?

ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นสามารถช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ เพราะสินค้าที่มาจากการนำเข้าจะมีราคาถูกลง ซึ่งคล้ายกับกรณีที่ 1 USD เคยแลกได้เพียง 100 JPY แต่ปัจจุบัน อาจแลกได้ 140 JPY เป็นต้น สำหรับสินค้าก็เช่นเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า แปลว่า สหรัฐฯ จะซื้อของได้ปริมาณมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้สินค้านำเข้าที่ชาวอเมริกันซื้อมีราคาลดลง ซึ่งในปี 2022 การที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าก็เชื่อกันว่า น่าจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมลดลง 0.2 หรือ 0.3% เมื่อเทียบกับราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น 9.1% ในปีที่แล้ว

นอกจากนี้ยังสามารถพบสัญญาณบวกอื่น ๆ โดยทั่วไปแล้ว เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้การเดินทางไปต่างประเทศมีราคาไม่แพงมากสำหรับชาวอเมริกัน การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยและไวน์รสเลิศในต่างประเทศกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับชาวอเมริกัน อีกทั้ง ค่าเงินยูโร (EUR) ที่อ่อนค่าลงยังทำให้ผู้ซื้อชาวอเมริกันสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในยุโรปได้ถูกกว่าปีที่แล้ว ดังนั้น บางรายจึงออกหาที่อยู่อาศัยในประเทศต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศส

แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าโดยทั่วไปจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวอเมริกัน แต่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ (นอกสหรัฐฯ) อาจได้รับผลกระทบในทางลบ เนื่องจากรายได้และกำไรที่ได้รับในสกุลเงินท้องถิ่นสูญเสียมูลค่าในรูปของเงินดอลลาร์ ทำให้อุปสงค์ในต่างประเทศลดลง

ดอลลาร์แข็งค่าทำให้ทุกประเทศ “จ่ายแพงขึ้น”

FED สร้างความลำบากให้กับยุโรปด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สหรัฐฯ คือคู่ค้าสำคัญของทุก ๆ ประเทศ สหภาพยุโรปเจอปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจากความกังวลเรื่องสงครามยูเครน เงินเฟ้อและพลังงานที่แพงขึ้น เมื่อต้องค้าขายกับสหรัฐฯ ก็ยิ่งเสียเปรียบ โดยเงินยูโรอ่อนค่าลงประมาณ 12% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แตะระดับ “หนึ่งต่อหนึ่ง” เป็นครั้งแรกในปี 2022 ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ในทางกลับกัน เงินปอนด์อังกฤษร่วงลงมากกว่า 15% ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980

ดอลลาร์แข็งค่า ส่งผลต่อประเทศอื่น ๆ อย่างไร

การเปรียบเทียบระหว่างเงินเยนของญี่ปุ่น (JPY) กับดอลลาร์สหรัฐ (USD) แสดงให้เห็นว่า เยนอ่อนแอลง 20%, สกุลเงินหยวนของจีนอ่อนแอลง 9%, รูปีอินเดียอ่อนแอลง 7% และฟรังก์สวิสอ่อนแอลง 5% สิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้าใจว่าค่าที่เปลี่ยนแปลงของสกุลเงินมีอิทธิพลต่อโลกแห่งความจริงในรูปแบบต่าง ๆ

ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกาต่ำ นักลงทุนทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หรือประเทศเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจกำลังพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว ในทางตรงกันข้าม เมื่ออัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกาเริ่มสูงขึ้นและค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐสูงขึ้น เงินจะเริ่มไหลออกจากประเทศเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว (วิ่งกลับมาที่ดอลลาร์)

เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและสกุลเงินของพวกเขาอ่อนค่าลง การชำระหนี้สำหรับประเทศที่กู้ยืมเงินในสกุลเงินดอลลาร์จะยากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเงินดอลลาร์มากขึ้น

แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าจะอยู่อีกนานไหม?

มีการคาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า ก็อาจจะยังคงสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะอัตราดอกเบี้ยยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดเดาว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ยิ่งโดยเฉพาะในตลาด Forex แล้ว

อย่างไรก็ตาม Rogoff ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ของ Harvard มองว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า จะค่อย ๆ อ่อนค่าลงหากสงครามในยูเครนสิ้นสุดลง เพราะจะเป็นสถานการณ์ที่เปิดช่องให้ฝั่งยุโรปมีพื้นที่ในการผลักดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุโรปกลับมา และทำให้ค่าเงิน EUR แข็งค่าขึ้น ซึ่งนี่จะไปกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง

นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่า ดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงจากการเข้าสู่ภาวะถดถอยเสียเอง และทาง FED ก็จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ในปี 2023 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐฯ ก็อาจทำให้การลงทุนในสินทรัพย์และบริษัทต่าง ๆ ของสหรัฐฯ มีความน่าสนใจน้อยลง ซึ่งหมายถึงเม็ดเงินที่วิ่งออกจากดอลลาร์ด้วย

รายงานล่าสุดเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เทรดเดอร์กำลังเพิ่มการเดิมพันในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ในปีหน้า และในฐานะส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่จะยุติอัตราเงินเฟ้อที่สูงของประเทศ FED ได้ยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาเงินเฟ้อ จนกว่าตลาดแรงงานจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ อาจแปลว่า ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า อาจลากยาวไปถึงปี 2023 ได้เช่นกัน

aximtrade
aximtrade broker