ปัจจุบันมีสินทรัพย์ทางการเงินให้เลือกเทรดและลงทุนมากมาย การเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอีกต่อไป และคุณอาจจะได้เห็นการเสนอบริการซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซึ่งเป็นสินค้าในตลาดสากลที่อาจเคยเป็นเรื่องที่ยุ่งยากในสมัยก่อน เช่น คู่สกุลเงิน (Forex), น้ำมัน, ทองคำ ฯลฯ
นอกจากนี้ โบรกเกอร์ยังอ้างว่า คุณสามารถเทรดด้วยอัตราทด (Leverage) ได้ตั้งแต่ 1 – 3,000 เท่า! จนคุณรู้สึกว่า “นี่มันเป็นการหลอกลวงหรือเปล่า?” แต่ทราบไหมว่ามันคือสินค้าปกติในตลาดสากล (OTC) ที่เรียกว่า “CFD” โดยไม่ว่าจะเป็นหุ้นต่างประเทศ, ทองคำ หรือคู่สกุลเงินดังที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นการเทรดผ่าน “CFD” ดังนั้น บทความนี้จึงอยากพาคุณไปทำความเข้าใจว่า CFD คืออะไร, มันช่วยให้คุณทำกำไรได้อย่างไร และมีความเสี่ยอะไรบ้าง?
สารบัญ
CFD คืออะไร?
CFD คือ “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” ย่อมาจาก “Contract for Differences” จัดเป็นสัญญาทางการเงินในกลุ่ม “ตราสารอนุพันธ์” (Derivative) ประเภทหนึ่ง ซึ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสัญญาว่า “จะต้องจ่ายส่วนต่างของมูลค่าสินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไป” เมื่อเทียบกับมูลค่า ณ เวลาที่ทำสัญญา
- เช่น คุณอาจซื้อสัญญา CFD ในฝั่ง Buy ของหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 10 บาท เมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปเป็น 15 บาท สถานะของ CFD ที่คุณถือครองอยู่ ก็จะมีมูลค่าเพิ่มมา 5 บาท
- หรือ คุณอาจซื้อสัญญา CFD ในฝั่ง Sell ของหุ้น Apple ที่ราคา 3,000 บาท หากเวลาผ่านไป แล้วราคาหุ้น Apple เหลือ 2,500 บาท สถานะของ CFD ที่คุณถือครองอยู่ ก็จะมีมูลค่าเพิ่มมา 500 บาท
CFD มีสถานะเหมือน “ใบสัญญา” หรือหลักฐานที่อ้างอิงว่า “คุณจะได้ซื้อขายอะไร ที่ราคาเท่าไร” ทำให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรราคาสินทรัพย์ใด ๆ บนโลกก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น, ตลาด Forex, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือ ดัชนีหลักทรัพย์ต่าง ๆ
- เลือกที่จะ Buy เมื่อต้องการ “เก็งกำไรว่าราคาจะขึ้น”
- เลือกที่จะ Sell หากต้องการ “เก็งกำไรว่าราคาจะลดลง”

Forex ก็เป็น CFD เช่นกัน!
คุณคงเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับการเทรด Forex มาบ้าง ซึ่งมีการอธิบายว่ามันคือการซื้อขายสกุลเงินเพื่อการเก็งกำไร และดูเหมือนว่าจะมีโบรกเกอร์ Forex ที่เปิดให้บริการสำหรับนักลงทุน รวมถึงผู้ที่มั่นใจว่ากำลังจะเป็นเศรษฐีคนต่อไปจากการเทรดค่าเงิน
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า “Forex” สำหรับนักลงทุนรายย่อยแล้วมันไม่ใช่การซื้อขายสกุลเงินจริง ๆ เพราะแท้จริงแล้ว (อย่างที่เกริ่นไปบ้างแล้ว) มันก็คือ CFD ที่อ้างอิงกับ “ราคา” ของคู่เงิน Forex ในตลาด หรือถ้าให้อธิบายตามคำนิยามของพวกเรา ก็ต้องบอกว่า “เรากำลังเทรดใบสัญญาที่อ้างอิงกับราคาของสกุลเงิน” นั่นเอง
แต่ด้วยเพราะว่าการเทรด Forex CFD ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง และมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจึงเรียกการเทรด CFD ที่อ้างอิงกับ Forex ว่า “การเทรด Forex” เพราะเข้าใจง่ายกว่า และผู้ให้บริการที่จริง ๆ ควรเรียกว่า “โบรกเกอร์ CFD” ก็ไม่มีใครนิยมเรียกแบบนั้นกัน เราก็จะเรียกกันว่า “โบรกเกอร์ Forex”
ส่วนการซื้อขายสกุลเงินจริง ๆ นั้น จะมีแค่ในตลาด “ระหว่างธนาคาร” เท่านั้น หรือสำหรับคนทั่วไปก็ต้องไปแลกซื้อตามร้านแลกเงินนั่นเอง!
กลไกการทำงานของ CFD
กลไกของ CFD จะคล้ายกับสัญญาฟิวเจอร์ส (Future) มาก แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงวิธีการทำงานให้ดีและง่ายยิ่งขึ้น โดยจะมีคุณสมบัติเฉพาะของ CFD ที่สำคัญอยู่ 2 ประการ ที่ทำให้ CFD ได้รับความนิยมอย่างสูง ได้แก่ ระบบ Lot และอัตรา Leverage ที่ยืดหยุ่น
ระบบ Lot ใน CFD
ในการเทรด CFD จะมีการกำหนดมาตรฐานของหน่วยการซื้อขาย เรียกว่า “Lot” โดยแต่ละ Lot จะแสดงถึง “ปริมาณ” (Unit) ของสินทรัพย์ที่อ้างอิงอยู่ ซึ่งระบบ Lot เดิมทีถูกใช้ในการซื้อขายคู่สกุลเงินระหว่างธนาคาร (Forex Spot) และยังนำมาใช้เป็นมาตรฐานหลักในการเทรด Forex CFD ในปัจจุบัน รวมถึงได้ประยุกต์ระบบ Lot ในสินทรัพย์อื่น ๆ
ต้องอธิบายเป็นพื้นฐานว่า CFD เป็นตราสารที่อนุญาตให้โบรกเกอร์เข้ามาจัดการเงื่อนไขของสัญญาที่เกี่ยวกับ “จำนวนยูนิตต่อล๊อต” ได้ (กระทำภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรการเงินนานาชาติ) ดังนั้น “1 Lot” ของแต่ละสินทรัพย์จะมีมูลค่าไม่เท่ากับ โดยเฉพาะกลุ่ม “หุ้น” และ “สกุลเงินดิจิทัล”
▶ CFD Lot ใน Forex
“คู่สกุลเงิน” (Forex CFD) กับ “ทองคำออนไลน์” (Gold CFD) เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากในตลาด จึงมีการใช้มาตรฐาน Lot แบบเดียวกัน โดยสำหรับ Forex จะใช้หน่วยมาตรฐานดังนี้
- 1 Standard Lot = 100,000 Units
- 0.1 Standard Lot = 10,000 Units
- 0.01 Standard Lot = 1,000 Units
กรณีของคู่สกุลเงิน ไม่ว่าคุณจะ Buy หรือ Sell หมายความว่า คุณกำลังเทรด “ตัวหน้า x Units”
- Buy EURUSD 1 Lot แปลว่า คุณกำลัง Buy 100,000 EUR (และขาย USD ออกในมูลค่าเท่ากัน)
- Sell USDJPY 1 Lot แปลว่า คุณกำลัง Sell 100,000 USD (และซื้อ JPY กลับในมูลค่าเท่ากัน)
- Buy EURNZD 0.05 Lot แปลว่า คุณกำลัง Buy 5,000 EUR (และขาย NZD ออกในมูลค่าเท่ากัน)
- Sell USDCAD 0.2 Lot แปลว่า คุณกำลัง Sell 20,000 USD (และซื้อ CAD กลับในมูลค่าเท่ากัน)
▶ CFD Lot ใน Gold
1 Lot ใน Gold CFD จะมีมูลค่าเท่ากับ 100 ทรอยออนซ์ (Troy Ounce) หรือตัวย่อ คือ “Oz” ดังนั้น
- 1 Lot = 100 Oz
- ทั้งนี้ “1 Oz” มีมูลค่าเท่ากับทองคำน้ำหนักประมาณ 2.0408 บาท
- แปลว่า 1 Lot เท่ากับทองคำหนักประมาณ 204 บาท! (ประมาณ 6 ล้านบาท)
แต่หน่วยทองคำเป็น “Oz” อาจเป็นสิ่งที่นักลงทุนชาวไทยไม่คุ้นเคยเท่าไร ดังนั้น เรานิยมจำหน่วยทองคำในลักษณะที่ว่า “ถ้าราคาเคลื่อนไหวไปเท่าไร มูลค่ากำไรขาดทุนจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด” โดยจะอธิบายดังต่อไปนี้
- หากราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไป 1$
- การเทรด 1 Lot Gold ทำให้เกิดกำไรขาดทุนจำนวน 100 USD
- 0.1 Lot = 10 USD
- 0.01 Lot = 1 USD
- ยกตัวอย่าง หากราคาทองคำอยู่ที่ $1,900 และราคาเพิ่มขึ้นเป็น $1,915 ($15)
- ถ้า Buy Gold 1 Lot ที่ราคา $1,900 ปัจจุบันจะได้กำไร ($15 x 100usd) = 1,500 USD
- Sell Gold 0.01 Lot ที่ราคา $1,900 ปัจจุบันจะขาดทุน ($15 x 1usd) = 15 USD
- Buy Gold 0.2 Lot ที่ราคา $1,900 ปัจจุบันจะได้กำไร ($15 x 20usd) = 300 USD
▶ CFD Lot ใน “หุ้น” หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
ปกติ 1 Lot ในหุ้นจะเท่ากับ 100 Units (100 หุ้น) ซึ่งในโบรกเกอร์ AximTrade จะใช้มาตรฐานเดียวกันนี้เป็นหลัก เช่น
- Buy Tesla 1 Lot = ซื้อหุ้น Tesla 100 หุ้น
แต่สำหรับสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายทางด้านราคา โดยเฉพาะ Cryptocurrency ต่าง ๆ ที่มีราคาตั้งแต่หลัก “สตางค์” ไปจนถึงหลายหมื่นดอลลาร์ ทำให้โบรกเกอร์ต้องปรับข้อกำหนด Volume ของแต่ละสินทรัพย์ให้เหมาะสม
ซึ่งก่อนอื่น เราต้องศึกษาข้อกำหนดและเงื่อนไขของแต่ละโบรกเกอร์ให้ชัดเจน เพราะแต่ละที่จะกำหนดไม่เหมือนกัน (ถ้าเป็นสินค้าหลัก ๆ จะใช้มาตรฐานในแนวทางเดียวกัน) โดยวิธีตรวจสอบ [1.] คลิกขวาที่สินค้าที่เราต้องการตรวจสอบในหน้าต่าง Market Watch [2.] เลือก “Specification” ตามภาพด้านล่าง

ระบบจะแสดงตาราง “Specification” ขึ้นมา และจะสังเกตว่าในตารางจะรายละเอียดต่าง ๆ ของสัญญา รวมถึง “Contract Size” ซึ่งเป็นการบอกว่า “1 Lot เท่ากับกี่ Unit?” และจากตัวอย่าง CFD ของหุ้น Cisco อย่างที่อธิบายไปว่า ส่วนใหญ่โบรกเกอร์จะกำหนดว่า 1 Lot = 100 หุ้น
- Contract Size – 100 ก็คือ 1 Lot = 100 หุ้น นั่นเอง!

สกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงมาก ๆ ส่วนใหญ่จะกำหนดเป็น 1 Lot BTCUSD = 1 BTC หรือสำหรับ Ethereum มักกำหนดเป็น 1 Lot = 10 ETHs ซึ่งในจุดนี้เราต้องตรวจสอบรายละเอียดของแต่ละโบรกเกอร์ให้ดี ๆ

แต่ถ้าสินทรัพย์นั้น ๆ มีราคาที่ต่ำมาก เช่น สกุลเงินดิจิทัลที่ชื่อว่า “ADA” ณ เวลาที่เขียนบทความ มีราคาเพียง 0.37 USD เท่านั้น โบรกเกอร์จึงปรับเงื่อนไขให้เหมาะสม โดยจะเห็นว่า Contract Size เป็น 1000
- 1 Lot ADA = 1,000 ADA

ระบบ Lot ในการเทรดตราสาร CFD ถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้โบรกเกอร์สามารถนำเสนอตราสารที่หลากหลายได้ และเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม เพราะโบรกเกอร์อาจกำหนด Unit ให้เล็กลงสำหรับแต่ละ Lot ได้ เช่น หุ้น Tesla ที่มีราคาสูงมาก ก็อาจกำหนดว่า 1 Lot = 10 หุ้น ก็ได้เช่นกัน อีกทั้ง CFD สามารถเทรดหน่อยย่อยได้ถึง 0.01 Lot ทำให้สามารถทลายข้อจำกัดด้านเงินลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยไปโดยสิ้นเชิง
สรุปข้อดีของ CFD
จากที่อธิบายคุณสมบัติของ CFD ทั้งหมดที่ผ่านมา เราอาจสรุปข้อดีของ CFD ได้ดังต่อไปนี้
- ความหลากหลายของสินทรัพย์ : เนื่องจาก CFD มีลักษณะเป็นเพียง “ใบสัญญา” เท่านั้น ดังนั้น มันจะเป็นสัญญาที่อ้างอิงกับสินค้าหรือสินทรัพย์ใด ๆ บนโลกนี้ก็ได้ โบรกเกอร์สามารถเลือกให้บริการ “หุ้น CFD” หรือแม้แต่ “พันธบัตร CFD” ที่สมัยก่อนจะสงวนไว้เฉพาะนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้น ดังนั้น ประโยชน์จึงเกิดแก่นักลงทุนที่สามารถเลือกกระจายพอร์ตการลงทุนด้วยสินทรัพย์ที่หลากหลายได้
- เก็งกำไรได้ 2 ทิศทาง : เทรดเดอร์สามารถเลือก Buy หรือ Sell ก็ได้ ทั้งยังสามารถเปิด Buy-Sell พร้อม ๆ กันเพื่อ Hedging ก็ได้เช่นกัน เมื่อ Buy-Sell ในสัดส่วนที่เท่ากัน โบรกเกอร์จะคืนเงิน Margin บางส่วนหรือเต็มจำนวน (ออเดอร์หักล้างกัน) แปลว่า เมื่อ Hedging แล้ว เราจะได้พื้นที่ Margin สำหรับเปิดออเดอร์แก้พอร์ตได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีที่เหนือกว่า Future มาก ๆ
- เรียบง่าย : CFD แม้จะจัดอยู่ในหมวด “ตราสารอนุพันธ์” ประเภทหนึ่ง แต่มีความซับซ้อนน้อยกว่าตราสารแบบอื่น ๆ มาก เพราะราคาของ CFD จะอ้างอิงกับราคาสินค้านั้นโดยตรง (ราคา Spot) ต่างกับ Future หรือ Option ที่มีหลักการคำนวณซับซ้อนกว่า หรืออย่าง Future ก็ใช้ราคาที่บวก Premium หรือ Discount ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนในการทำความเข้าใจสำหรับมือใหม่
Leverage ของ CFD
นอกจากนี้คุณสมบัติพื้นฐานข้างต้นแล้ว และเราทราบแล้วว่า CFD คือตราสารอนุพันธ์แบบหนึ่ง และจะขออธิบายเพิ่มเติมว่า CFD เป็นการซื้อขายแบบ OTC อีกด้วย (ถือว่าซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์, ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์และจับคู่กับตัวกลางอื่น ๆ ทั่วโลก) ทำให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับ “อัตราสูงสุดของ Leverage” นั้นยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
โบรกเกอร์สามารถเสนอ Leverage ได้ตั้งแต่ 100 – 3,000 เท่าโดยไม่ละเมิดข้อกำหนดขององค์กรกำกับดูแลแต่อย่างใด ซึ่งช่วยลดกำแพงในการเข้าถึงการลงทุนของผู้ที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ ๆ ถือว่าเป็นข้อดีสำคัญของ CFD! ทั้งนี้ โบรกเกอร์ AximTrade ให้ Leverage สูงสุดถึง 3,000 เท่าในบัญชี Standard
เปิดบัญชี CFD กับ AximTrade
โบรกเกอร์ Forex กับโบรกเกอร์ CFD เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะสนใจเทรดหุ้นต่างประเทศ, คู่เงิน Forex, หรือเทรดทองคำ คุณก็สามารถเทรดผ่าน CFD กับ “โบรกเกอร์ Forex” แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าโบรกเกอร์นั้น ๆ มีประเภทสินค้าที่คุณต้องการเทรดหรือไม่? ซึ่งสำหรับโบรกเกอร์ AximTrade จะมีให้บริการสินทรัพย์ที่ครอบคลุมทุก 7 ประเภทสำคัญทั้งหมด ตั้งแต่สกุลเงิน, หุ้น, น้ำมัน ไปจนถึง Cryptocurrency!
แต่สิ่งสำคัญที่คุณควรตระหนักก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการโบรกเกอร์ใด ๆ คือคุณควรได้ทดลองระบบของโบรกเกอร์นั้น ๆ และแพลตฟอร์มที่ให้บริการก่อน คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์มีระบบบัญชีทดลองหรือ Demo Account เพื่อประกอบการตัดสินใจ และเราแนะนำว่าให้คุณใช้บัญชีทดลองในการฝึกฝน รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่สามารถเทรดผ่าน CFD ได้ และถ้าอยากเริ่มต้นเรียนรู้แล้ว ก็แค่คลิกที่แบนเนอร์ด้านล่าง!